มะละกอสร้างชาติ
มะละกอ
การปลูกมะละกอ
เรื่องที่ 1 การเตรียมพื้นที่
มะละกอสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินทุกสภาพ แต่ที่สำคัญจะต้องเป็นดินที่ระบายน้ำได้ดี น้ำไม่ ขัง แฉะ เพราะมะละกอเป็นพืชที่ไม่มีความ ทนทาน ต่อการถูกน้ำท่วม ถ้ามีน้ำท่วมโคนต้น เพียง 1-2 วัน จะชะงักการเจริญเติบโตและ อาจตายได้ แต่อย่างไรก็ตามจะขาด น้ำไม่ได้ดังนั้น พื้นที่ที่ จะปลูก มะละกอ ควรเป็นที่น้ำท่วมไม่ถึงและควรอยู่ใกล้แหล่งน้ำอีกด้วย ถ้าหากเป็นที่ลุ่มควรทำแปลง ปลูกแบบยกร่องสำหรับการเตรียมดินปลูก ก่อนอื่นต้องกำจัดวัชพืชออกให้หมดแล้ว ทำการพรวนดิน อย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งแรกให้ไถดินก้อนโต ๆ ทิ้งให้ตากแดดจนแห้งดีแล้ว จึงไถพรวนย่อยดินอีกครั้ง ถ้าดินปลูกไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ควรใส่ปุ๋ยให้แก่ดิน โดยการปลูกพืชตระกูลถั่วก่อน แล้วไถกลบลง ดินให้เน่าเปื่อยผุพังอยู่ในดิน
เรื่องที่ 2 การเตรียมหลุมปลูก
หลุมที่ใช้ปลูกมะละกอควรขุดให้มีขนาดกว้าง ยาว ลึก ประมาณด้านละ 50 เซนติเมตร ดินที่ขุดขึ้นมาจากหลุมให้ปล่อยตากแดด ทิ้งไว้ 7-10 วัน แล้วจึงย่อยให้ละเอียด ผสมปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมัก ใบไม้ผุ แล้วจึงกลบดินลงหลุม จากนั้นจึงนำต้นกล้าหรือเมล็ดมะละกอลงปลูกระยะห่าง 3ด3 เมตร
สำหรับพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ควรทำการปลูกแบบยกร่อง โดยทำเป็นร่องขนาดกว้าง 3-4 เมตร คูน้ำระหว่างร่องกว้างประมาณ 1 เมตร แล้วทำการเตรียมดินและหลุมต่อไป
สำหรับพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ควรทำการปลูกแบบยกร่อง โดยทำเป็นร่องขนาดกว้าง 3-4 เมตร คูน้ำระหว่างร่องกว้างประมาณ 1 เมตร แล้วทำการเตรียมดินและหลุมต่อไป
เรื่องที่ 3 วิธีการปลูก
มะละกอสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่ที่นิยมกันคือปลูกในช่วงต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน การนำต้นกล้าลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ ควรทำด้วยความระมัดระวัง อย่าให้ดินแตกออกจากราก และไม่ให้รากขาด เมื่อวางต้นกล้าลงหลุมปลูกแล้ว ให้กลบดินรอบโคนต้น กดให้แน่นให้ระดับดินในหลุมปลูกเสมอกับระดับดินเดิมที่ติดมากับต้นกล้า อย่ากลบโคนต้นสูงกว่ารอยดินเดิม จะทำให้เป็นโรคโคนเน่า เสร็จแล้วรดน้ำให้ชุ่ม ใช้ทางมะพร้าวหรือวัสดุอย่างอื่นคลุมบังแดดประมาณ 7-10 วัน รดน้ำทุกเช้า อย่าให้ขาดน้ำ ถ้าขาดน้ำในระยะนี้ต้นจะแคระแกร็น โตช้า และให้ผลช้าด้วย
สรรพคุณของมะละกอ
ผลสุก - เป็นมีสรรพคุณป้องกัน หรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบาย
ยางจากผลดิบ - เป็นยาช่วยย่อยโปรตีน ฆ่าพยาธิได้
รากมะละกอ - ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา
ใช้เป็นยาระบาย : ใช้ผลสุกไม่จำกัดจำนวน รับประทานเป็นผลไม้
เป็นยาช่วยย่อย: 1. ใช้เนื้อมะละกอดิบไม่จำกัด ประกอบอาหาร เช่น ส้มตำ แกง เป้นผักจิ้ม 2. ยางจากผลดิบ หรือจากก้านใบ ใช้ 10-15 กรัม หรือถ้าเป็นตัวยาช่วยย่อย เพราะในยางมะละกอมีสารที่เรียกว่า Papain
เป็นยากัน หรือแก้โรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟัน: ใช้มะละกอสุกรับประทานเป็นผลไม้ ให้วิตามินซีสูง
เท้าบวม: เอาใบมะละกอสดตำให้แหลกผสมกับเหล้าขาว ใช้พอกเท้าที่บวมลดอาการบวมลงได้
แก้เคล็ดขัดยอก: ใช้รากมะละกอสดตำให้แหลกผสมเหล้าโรงพอก
โดนหนามตำหรือหนามหักคาเนื้อใน: ให้บ่งปากแผลเปิดออก เอายางมะละกอดิบใส่หนามจะหลุดออก
คันเพราะพิษของหอยคัน: ให้ใช้ยางมะละกอดิบทาเช้า-เย็นจนหาย
เมื่อมีอาการปวดตามข้อและหลัง: รับประทานมะละกอสุกเป็นประจำป้องกันและบำบัดโรคปวดข้อปวดหลังได้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง ใช้รากมะละกอตัวผู้แช่เหล้าขาวให้ท่วมยาไว้ 7 วัน และกรองเอาน้ำใช้ทาแก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อเปลี้ยอ่อนแรง ลดอาการปวดบวม ให้เอาใบมะละกอสดย่างไฟหรือลวกกับน้ำร้อนแล้วประคบบริเวณที่ปวด หรือตำพอหยาบห่อด้วยผ้าขาวบางทำเป็นลูกประคบ
ถ้าโดนตะปูตำเป็นแผล: ให้เอาผิวลูกมะละกอดิบตำพอกแผล เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง แผลน้ำร้อนลวก ใช้เนื้อมะละกอดิบต้มให้สุกจนเปือย ตำพอกที่แผล แผลพุพอง ใช้ใบมะละกอแห้งกรอบบดเป็นผง ผสมกับน้ำกะทิพอเหนียวข้น ใช้พอกหรือทาที่แผลวันละ 2-3 ครั้ง
แก้ผดผืนคัน: ใช้ใบมะละกอ 1 ใบ น้ำมะนาว 2 ผล เกลือ 1 ช้อนชา ตำรวมกันให้ละเอียดเอาทั้งน้ำและเนื้อทาแผลบ่อยๆ กลาก เกลื้อน ฮ่องกงฟุตหรือเท้าเปือย ใช้ยางของลูกมะละกอดิบทาวันละ 3 ครั้งฆ่าเชื้อราได้
รากมะละกอ - ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา
ใช้เป็นยาระบาย : ใช้ผลสุกไม่จำกัดจำนวน รับประทานเป็นผลไม้
เป็นยาช่วยย่อย: 1. ใช้เนื้อมะละกอดิบไม่จำกัด ประกอบอาหาร เช่น ส้มตำ แกง เป้นผักจิ้ม 2. ยางจากผลดิบ หรือจากก้านใบ ใช้ 10-15 กรัม หรือถ้าเป็นตัวยาช่วยย่อย เพราะในยางมะละกอมีสารที่เรียกว่า Papain
เป็นยากัน หรือแก้โรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟัน: ใช้มะละกอสุกรับประทานเป็นผลไม้ ให้วิตามินซีสูง
เท้าบวม: เอาใบมะละกอสดตำให้แหลกผสมกับเหล้าขาว ใช้พอกเท้าที่บวมลดอาการบวมลงได้
แก้เคล็ดขัดยอก: ใช้รากมะละกอสดตำให้แหลกผสมเหล้าโรงพอก
โดนหนามตำหรือหนามหักคาเนื้อใน: ให้บ่งปากแผลเปิดออก เอายางมะละกอดิบใส่หนามจะหลุดออก
คันเพราะพิษของหอยคัน: ให้ใช้ยางมะละกอดิบทาเช้า-เย็นจนหาย
เมื่อมีอาการปวดตามข้อและหลัง: รับประทานมะละกอสุกเป็นประจำป้องกันและบำบัดโรคปวดข้อปวดหลังได้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง ใช้รากมะละกอตัวผู้แช่เหล้าขาวให้ท่วมยาไว้ 7 วัน และกรองเอาน้ำใช้ทาแก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อเปลี้ยอ่อนแรง ลดอาการปวดบวม ให้เอาใบมะละกอสดย่างไฟหรือลวกกับน้ำร้อนแล้วประคบบริเวณที่ปวด หรือตำพอหยาบห่อด้วยผ้าขาวบางทำเป็นลูกประคบ
ถ้าโดนตะปูตำเป็นแผล: ให้เอาผิวลูกมะละกอดิบตำพอกแผล เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง แผลน้ำร้อนลวก ใช้เนื้อมะละกอดิบต้มให้สุกจนเปือย ตำพอกที่แผล แผลพุพอง ใช้ใบมะละกอแห้งกรอบบดเป็นผง ผสมกับน้ำกะทิพอเหนียวข้น ใช้พอกหรือทาที่แผลวันละ 2-3 ครั้ง
แก้ผดผืนคัน: ใช้ใบมะละกอ 1 ใบ น้ำมะนาว 2 ผล เกลือ 1 ช้อนชา ตำรวมกันให้ละเอียดเอาทั้งน้ำและเนื้อทาแผลบ่อยๆ กลาก เกลื้อน ฮ่องกงฟุตหรือเท้าเปือย ใช้ยางของลูกมะละกอดิบทาวันละ 3 ครั้งฆ่าเชื้อราได้
อาหารจากมะละกอ
1.ผัดไทยมะละกอ
วิธีทำ
2.ผัดมะละกอใส่ไข่วิธีทำ
1.สับมะละกอเป็นเส้น ทุบกระเทียมแล้วสับให้ละเอียด
2.เจียวกระเทียมสับพอเหลือง ใส่มะละกอสับ ใส่น้ำเปล่า และกุ้งแห้ง พอมะละกอนิ่ม ก็ปรุงรสด้วย น้ำตาล และน้ำปลา
3.ต่อยไข่ลงไปคนให้ไข่กระจายให้ทั่ว พอสุกจึงใส่จานโรยด้วยพริกเขียวแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ
3.แกงส้มมะละกอ
- ทอดเต้าหู้พอเหลือง พักไว้
- ผัดกุ้งในน้ำมันพอสุก พักไว้
- ผัดหัวไชโป๊กับน้ำมัน ใส่น้ำมะขาม พริกป่น น้ำตาลปี๊บเคี่ยว น้ำปลา เคี่ยวพอเข้ากัน
- ใส่มะละกอและแครอทลงผัด ผัดจนมะละกอนิ่ม ใส่กุ้ง ชิมรส
- ใส่ถั่วงอก กุยช่ายลงผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ดับไฟ ตักใส่จาน โรยถั่วลิสงบุบหยาบ ตักขึ้น กินกับเครื่องเคียงมีใบบัวบก กุยช่าย หัวปลี มะนาว ถั่วงอก
1.สับมะละกอเป็นเส้น ทุบกระเทียมแล้วสับให้ละเอียด
2.เจียวกระเทียมสับพอเหลือง ใส่มะละกอสับ ใส่น้ำเปล่า และกุ้งแห้ง พอมะละกอนิ่ม ก็ปรุงรสด้วย น้ำตาล และน้ำปลา
3.ต่อยไข่ลงไปคนให้ไข่กระจายให้ทั่ว พอสุกจึงใส่จานโรยด้วยพริกเขียวแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ
3.แกงส้มมะละกอ
วิธีทำ
1.เริ่มทำเอาเปลือกมะละกอมาหั่นเปลือกสีเขียวแข็งๆออกไป
2.หลังจากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นขนาดพอคำตามชอบ
3.ตวงน้ำใส่หม้อ ยกตั้งไฟกลางพอเดือดใส่พริกแกงลงไป
4.ปลาทูน่ากระป๋อง เปิดออกรินน้ำออกให้หมด ตักแต่เนื้อปลาใส่ลงไปในหม้อแกงที่น้ำเดือด
5.หลังใส่ปลาพอน้ำเดือดอีกทีก็เทแตงโมที่หั่นเตรียมไว้ลงไป ต้มจนเนื้อแตงโมสุกนิ่มหน่อย
6.ใส่เครื่องปรุง น้ำปลา น้ำตาล และน้ำมะขามเปียกลงไป ชิมรสตามชอบ ขาดเหลือก็เติมได้ แล้วปิดไฟได้
7.แกงเสร็จแล้วทานได้ ถ้าชอบเปรี้ยวมากก็บีบน้ำมะนาวใส่ตอนจะทานอีกที นี่หลังจากแกงเสร็จแล้ว
2.หลังจากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นขนาดพอคำตามชอบ
3.ตวงน้ำใส่หม้อ ยกตั้งไฟกลางพอเดือดใส่พริกแกงลงไป
4.ปลาทูน่ากระป๋อง เปิดออกรินน้ำออกให้หมด ตักแต่เนื้อปลาใส่ลงไปในหม้อแกงที่น้ำเดือด
5.หลังใส่ปลาพอน้ำเดือดอีกทีก็เทแตงโมที่หั่นเตรียมไว้ลงไป ต้มจนเนื้อแตงโมสุกนิ่มหน่อย
6.ใส่เครื่องปรุง น้ำปลา น้ำตาล และน้ำมะขามเปียกลงไป ชิมรสตามชอบ ขาดเหลือก็เติมได้ แล้วปิดไฟได้
7.แกงเสร็จแล้วทานได้ ถ้าชอบเปรี้ยวมากก็บีบน้ำมะนาวใส่ตอนจะทานอีกที นี่หลังจากแกงเสร็จแล้ว
น่าสนใจมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆนะ
ตอบลบเนื้อหาน่าสนจัยมากค่ะ^^
ตอบลบน่ารักอ่า!
ตอบลบกล่าวว่า.. เนื้อหาน่าสนใจดีจร๊..อิอิ
เนื้อหาน่าสนจัยยยยยยยยยย.....มากจร๊า...^^
ตอบลบน่าสนใจดีมากๆๆเลยคร๊.......
ตอบลบดีมาก
ตอบลบดีๆๆๆๆๆชอบค่า
ตอบลบดี..........
ตอบลบดีๆๆๆๆๆถูกใจจ่ะ
ตอบลบมาแสดงความคิดเห็นกันเยอะๆนะจร๊*-*...
ตอบลบ